๒๔/๗ การใช้ชีวิตที่มีธรรมะ

จิระพร กันพล

 

    ข้าพเจ้าชื่อนางจิระพร กันพล อายุ ๔๑ ปี บ้านเดิมอยู่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้ย้ายเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯ จนได้ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งก่อนที่จะมีครอบครัวและตัดสินใจออกมาประกอบอาชีพค้าขายส่วนตัว

    ข้าพเจ้าเป็นคนขยัน ประหยัด อดออม รู้จักกินรู้จักใช้ ไม่ฟุ่มเฟือย ข้าพเจ้าจึงไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินทองค่าใช้จ่ย และตามที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้ก่อนที่จะเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯ คือถ้าสามารถหารายได้เป็นของตัวเองเมื่อใด จะแบ่งเงินบางส่วนส่งให้พ่อแม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และข้าพเจ้าได้ทำตามที่สัญญาไว้กับตัวเอง ข้าพเจ้าได้ส่งเสียเจือจุนเงินทองให้พ่อและแม่ตลอดมา และแบ่งเงินจำนวนหนึ่ง หลังจากเหลือเก็บไว้แล้ว ทำบุญทำทาน เป็นนิสัยตลอดมาตามสมควร ข้าพเจ้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือธรรมะ ข้าพเจ้าอ่านหนังสือธรรมะได้ทุกประเภท จากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากหนังสือธรรมะทำให้ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม

    ก่อนที่จะได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อจรัญนั้น ข้าพเจ้าประสบปัญหาครอบครัวมาโดยตลอด จนวันหนึ่งสามีขอแยกทาง ทำให้ข้าพเจ้าต้องอยู่คนเดียวใช้ชีวิตโดยลำพังมาตลอด ข้าพเจ้ามีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ทั้งเรื่องผ่อนบ้านและรายจ่ายอื่นๆในครอบครัว ถ้าคิดเป็นจำนวนเงินแล้ว เดือนหนึ่งๆข้าพเจ้าต้องหาเงินให้ได้ประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ภาระเรื่องเงิน เพราะกิจการของข้าพเจ้าดำเนินไปได้อย่างดี มีลูกค้าประจำที่ดีเยอะมาก

    หลังจากที่สามีได้แยกทางไป ข้าพเจ้ารู้สึกสับสนในการดำรงชีวิต คิดไปสารพัด จะอยู่อย่างไรต่อไป จะทำอย่างไรต่อไป ภาระที่รออยู่ตรงหน้าข้าพเจ้มีมากมาย ใครจะช่วยให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า ทั้งที่ตลอดมาข้าพเจ้าก็ทำมาหากินด้วยตัวเองตลอด ปัญหาเหล่านั้สับสนวนเวียนอยู่ในความคิด และคิดได้แค่ว่ “มันคงเป็นเวรเป็นกรรม”

    ข้าพเจ้าใช้เวลาทบทวนความคิดอยู่นาน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ปฏิวัติตัวเองใหม่ ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นมาทำงาน สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าทำ คือเก็บกวาดบ้าน จัดบ้านใหม่ให้ละอาด ทำจิตใจให้แจ่มใสก่อนที่จะเข้าไปตั้งสติ นั่งไหว้พระ สวดมนต์ และขอพรจากพระ ขอให้ข้าพเจ้าเข้มแข็ง ทำงานต่อสู้โดยไม่ย่อท้อ หลังจากไหว้พระสวดมนต์ก็หยิบหนังสือธรรมะมาอ่าน ทุกครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือธรรมะของวัดอัมพวัน ของหลวงพ่อ จรัญ ที่เก็บไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานในบริษัทฯ ข้าพเจ้าได้หนังสือเล่มนี้มาจากเพื่อนที่อยู่ชัยนาท นำมาฝากด้วยตนเอง พร้อมคำแนะนำว่า “หนังสือเล่มนี้ดีมาก” ข้าพเจ้าจึงเก็บไว้อ่าน ตอนนั้นข้าพเจ้าสวดมนต์บ้าง แต่ยังไม่ได้ทำจริงจัง หลังจากที่อ่านหนังสือของหลวงพ่อจรัญแล้วอดคิดไม่ได้ว่าวัดนี้มีจริงหรือ จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว และมีลูกค้าเอาหนังสือของหลวงพ่อจรัญมาให้อีก ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณ และเริ่มอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวอย่างจริงจัง ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจมากขึ้น

    หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว สิ่ง่เดียวทที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและร่างกายให้มีแรงต่อสู้ต่อไป คือ “ธรรมะ” ซึ่งแปลว่าธรรมชาติหรือความแท้จริง ข้าพเจ้าเริ่มทบทวนชีวิตของข้าพเจ้าอย่างละเอียดทีละช่วงเวลา และทำให้ตระหนักว่าต้องอยู่กับความจริงของชีวิตให้ได้ ข้าพเจ้าจึงเริ่มด้วยการไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ ขอพรจากพระ และอ่านหนังสือธรรมะที่มีอยู่ทั้งหมด คราวนี้ข้าพเจ้าอ่านหนังสือธรรมะทั้งหมดด้วยความเพียร ครั้งแล้วครั้งเล่าที่อ่านจนจบและพลิกหน้าต่อไปช้าๆ ข้าพเจ้าเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น ได้พบคำตอบที่ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดได้แค่ว่า “มันคงเป็นเวรกรรม” ขยายขึ้นเป็นความเข้าใจในธรรมชาติและความจริงของมนุษย์…. ขยายขึ้นเป็นความสบายใจ…. และที่สำคัญได้ขยายเป็นการให้อภัยและปรารถนาดีต่อกัน

    จนวันหนึ่งได้มีลูกค้ามาเล่าให้ฟังถึงเรื่องไปไหว้หลวงพ่อจรัญมา พอข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้นึกถึงหนังสือและคำสอนของหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้าจึงชวนเพื่อนๆไปกราบหลวงพ่อจรัญที่วัด หลังจากที่ข้าพเจ้านัดเพื่อนและถามทางไปวัดเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางไปที่วัดอัมพวัน เพื่อนของข้าพเจ้าเป็นไกด์ที่ดี เพราะเคยไปวัดอัมพวันหลายครั้ง ข้าพเจ้าได้ซื้อพวงมาลัยใส่พานเตรียมไว้ถวายหลวงพ่อจรัญ ซึ่งท่านจะลงมาตอนบ่าย ๒ โมงตรง ระหว่างที่รอข้าพเจ้าได้นั่งอ่านหนังสือธรรมะที่วัดนั้น วันที่ข้าพเจ้าไปคือวันที่ ๙ เดือน มีนาคม ๒๕๕๒ ตรงกับวันจันทร์ ข้าพเจ้าได้เขียนใส่กระดาษว่า ขอให้สามีของข้าพเจ้ากลับมาช่วยข้าพเจ้าค้าขาย และขอให้พ่อแม่มีความสุขใส่ลงในพาน

    บ่าย ๒ โมงตรง หลวงพ่อจรัญลงมา ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้าก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า เป็นบุญของข้าพเจ้าเหลือเกินที่ได้มากราบไหว้หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านดูสงบนิ่ง น่าเลื่อมใสเหลือเกิน หลังจากถวายพานหลวงพ่อเสร็จ ข้าพเจ้าคิดในใจว่าข้าพเจ้าต้องกลับมากราบหลวงพ่ออีก ข้าพเจ้าหยิบหนังสือกลับบ้านหลายเล่ม และเอามาฝากเพื่อนๆหลังจากกลับวัด ข้าพเจ้าและเพื่อนได้ถูกรางวัลล็อตเตอรี่ในงวดนั้นด้วย และได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตั้งใจจะกลับไปทำบุญที่วัดอัมพวันอีกในโอกาสต่อไป

    ในคืนที่กลับจากวัด ข้าพเจ้าได้ตั้งคำอธิษฐานขอพรจากหลวงพ่อจรัญให้ข้าพเจ้าสวดมนต์ให้จบทุกบทที่มีในหนังสือ รวมทั้งบท พาหุง มหากา อิติปิโส เท่าอายุ บวก ๑ จบ เพราะที่ผ่านมาข้าพเจ้าสวดมนต์ไม่เคยจบเลย ข้าพเจ้าเริ่มสวดวันที่ ๑๒ คือวันพฤหัส สวดอยู่ ๑ เดือนเต็ม ไม่ได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว ข้าพเจ้าดีใจมาก หลังจากสวดมนต์เสร็จ ข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาและอโหสิกรรมให้สามีทุกครั้ง ทำให้ไม่คิดถึงสามีอีก ต่อมาไม่นานสามีก็ได้กลับมาหาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าบอกเขาไปว่า ในชาตินี้อะไรที่เขาเคยทำกับข้าพเจ้าไว้ ขออโหสิกรรมให้หมด ขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และข้าพเจ้าก็แนะนำให้เขาไปกราบหลวงพ่อด้วย ซึ่งเขาก็ดีใจและรับปากว่าจะไปกราบหลวงพ่อ

    ต่อมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อครั้งที่ ๒ ครั้งนี้ข้าพเจ้ากับเพื่อนมีความสุขมาก เพราะข้าพเจ้ากับเพื่อนได้ทำน้ำเต้าหู้ไปถวายวัด ๑ หม้อใหญ่ และถวายหม้อด้วย แม่ครัวดีใจมาก จะเอาไว้ให้คนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานดื่มเป็นน้ำปานะตอนค่ำ วันนั้นวันพระ หลวงพ่อจะรับพานบนศาลา ข้าพเจ้าและเพื่อนจึงขึ้นไปสวดมนต์บนศาลาและรอหลวงพ่อ หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับ วันนั้นข้าพเจ้ารู้สึกอิ่มเอิบใจและมีความสุขมาก เราสัญญากันว่าวันพระหน้าเราจะไปกราบหลวงพ่อและขึ้นไปสวดมนต์กับหลวงพ่ออีก ข้าพเจ้าไปกับเพื่อนได้ ๕ ครั้ง ครั้งที่ ๕ ตรงกับวันเพ็ญเดือนหกคือวันวิสาขบูชา วันนั้นคนเยอะมาก ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้เขียนกระดาษใส่พานถวายหลวงพ่อว่าถ้าข้าพเจ้าได้มาครั้งต่อไป ขอให้ได้มาถือศีลปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อสร้างบุญสร้างกุศลด้วย และข้าพเจ้าก็ได้รู้จากลูกศิษย์หลวงพ่อว่า วันที่ ๑๕ สิงหาคมคือวันเกิดหลวงพ่อ คืนนั้นหลังจากที่ข้าพเจ้าสวดมนต์เสร็จ ข้าพเจ้าได้อธิษฐานบอกหลวงพ่อว่าข้าพเจ้าอยากไปปฏิบัติ ในวันที่ ๑๔-๑๕-๑๖ สิงหาคม ขอให้หลวงพ่อช่วยดลบันดาลให้ข้าพเจ้าได้ไปด้วยเถิด และก่อนวันที่ ๑๔ ข้าพเจ้าได้นัดเพื่อนอีกครั้งว่าจะไป แต่มีเหตุก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้ คือพ่อของข้าพเจ้าที่ต่างจังหวัดป่วย ตาข้างหนึ่งเป็นต้อหิน อีกข้างเป็นต้อกระจก โรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดรักษาแล้วไม่ดีขึ้น จึงส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลราชวิถีในกรุงเทพฯ หมอนัดวันที่ ๑๒ สิงหาคม วันที่พ่อไปพบหมอ ตาของพ่อมองไม่เห็นเลย คุณหมอรักษาด้วยการฉีดยาเข้าดวงตา และนัดตรวจใหม่อีกครั้งในวันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม ข้าพเจ้าสงสารพ่อมากจึงตั้งใจว่าการไปถือศีลครั้งนี้ จะตั้งใจให้พ่อโดยตรงเพราะเคยอ่านในหนังสือของหลวงพ่อจรัญว่า ลูกสามารถแก้กรรมให้พ่อแม่ได้ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจเต็มที่ก่อนไปได้ซื้อพวงมาลัยไปกราบหลวงพ่อเพื่อขอพรก่อนไป ที่บ้านของน้องสาวที่พ่อพักอยู่ ข้าพเจ้าเข้าไปหาพ่อและมอบพวงมาลัยให้พร้อมกับก้มลงกรายที่ตักพ่อเป็นครั้งแรกชีวิตของข้าพเจ้า พร้อมกับบอกพ่อว่ “จะไปถือศีลปฏิบัติธรรมไห้พ่อเป็นเวลา ๓ วัน อยากให้ตาของพ่อหาย พ่อจะได้มองเห็นอีกครั้ง” พ่อถามว่า “จะไปถือศีลที่วัดไหน จังหวัดอะไร” พอตอบไปว่าไปถือศีลที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี กับหลวงพ่อจรัญ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่คาดคิดคือ น้ำตาของพ่อไหล ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจจนกลั้นน้ำตาแห่งความปีติไว้ไม่อยู่ พี่สาวที่อยู่ข้างๆก็ร้องไห้ออกมาเหมือนกัน และพ่อได้บอกว่า “ถือศีลให้มั่นนะลูก พ่อจะเป็นกำลังใจให้” สิ่งนี้ได้สร้างความมุ่งมั่นให้ข้าพเจ้า ในการถือศีลปฏิบัติธรรมในครั้งนี้

    ๓ วันที่อยู่ที่วัด ข้าพเจ้าตื่นนอนตอนตี ๒ ครึ่ง อาบน้ำแล้วไปนั่งฟังหลวงพ่อลงโบสถ์สวดมนต์ทำวัตรเช้าตอนตี ๓ ตลอดเวลาที่ได้ฟังท่านสวดมนต์ข้าพเจ้ามีความสุขกายสบายใจเป็นอย่างมาก พอตอนตี ๔ ก็ขึ้นศาลาปฏิบัติธรรม ตามกฎระเบียบที่แม่ชีสั่ง และเช้าวันอาทิตย์ก็ลาศีลกลับบ้าน ก่อนกลับข้าพเจ้าถวายพานหลวงพ่อตอน ๑๐ โมงเช้า ข้าพเจ้าเขียนใส่กระดาษใส่พานว่า “ข้าพเจ้าขอเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ขอบารมีหลวงพ่อจงคุ้มครองข้าพเจ้าและครอบครัว ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวอยู่ดีมีสุขตลอดไป” และถ้าตาของพ่อมองเห็น ข้าพเจ้าจะพาไปกราบหลวงพ่อ จรัญเพื่อความเป็นศิริมงคลของชีวิตต่อไป ตามที่ข้าพเจ้าได้รับปากกับพ่อไว้

    เช้าวันจันทร์พ่อไปพบหมอตามที่นัดไว้ ขณะทำการรักษาตามขั้นตอน หมอได้ชูนิ้วให้พ่อของข้าพเจ้ามองและให้บอกจำนวนนิ้วที่เห็น ซึ่งทุกครั้งที่หมอถามพ่อก็บอกถูกต้องทุกครั้ง แม้แต่สีของเสื้อที่ญาติในห้องใส่อยู่ก็สามารถบอกสีได้อย่างถูกต้อง ตาของพ่อดีขึ้น เป็นสิ่งแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกได้อย่างชัดเจน ทุกคนในห้องดีใจมาก หมอออกใบนัดแพทย์ให้อีกครั้ง ข้าพเจ้าหวังว่าในครั้งหน้าอาการทางตาของพ่อข้าพเจ้าจะดีขึ้น และมองเห็นได้เป็นปกติ

    หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลราชวิถี ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านต่างจังหวัดว่า รถยนต์ของข้าพเจ้าที่ได้ถูกโจรกรรมไปเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้ถูกยึดกลับคืนมาได้แล้ว ข้าพเจ้าผูกพันกับรถคันนี้มาก เพราะข้าพเจ้าได้ใช้เงินที่หามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของข้าพเจ้าเพียงลำพังแลกมา เพื่อจะได้ใช้รถคันนี้นการซื้อของมาทำธุรกิจ แต่เมื่อรถถูกโจรกรรม ข้าพเจ้าเสียใจมาก แต่ก็ต้องทำใจไม่คิดว่าจะได้รถกลับคืนมาอีกครั้ง สาเหตุมาจากเช้าวันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังไปจับคนต้มเหล้าเถื่อนที่บ้านคนร้ายแห่งหนึ่ง และก็ได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมด รวมทั้งรถยนต์คันดังกล่าวมาตรวจสอบที่ สภ.อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อตรวจเช็คเลขเครื่องยนต์โดยละเอียด จึงได้ทราบว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาจากอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดต่อน้องชายของข้าพเจ้าคนที่ไปแจ้งความเรื่องรถหายเมื่อคืนวันดังกล่าว และถามหาเจ้าของรถ ข้าพเจ้าจึงให้น้องชายของข้าพเจ้าตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่จะลงไปรับรถคืน หลังจากรับโทรศัพท์ดังกล่าว ข้าพเจ้าแทบไม่อยากจะเชื่อว่า ทั้งเรื่องตาของพ่อที่มีอาการดีขึ้น เรื่องรถ ที่หายไปเมื่อ ๘ ปีที่แล้ว ได้คืน ในตอนนั้นข้าพเจ้านำออกเพียงเหตุผลเดียว คือเป็นผลมาจากการที่ข้าพเจ้าไปนั่งปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อจรัญมา เมื่อสามวันที่แล้ว หลังจากที่ไปรับรถกลับมาจากชุมพรสามีของข้าพเจ้าที่แยกทางกันไปแล้วได้ออกปากขอรถคันนี้เพื่อใช้ในธุรกิจส่วนตัวของเขา ซึ่งในตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าจะขายรถและแบ่งเงินกัน เพราะด้วยสภาพรถที่ยังดูใหม่อยู่ เชื่อว่าน่าจะขายได้ราคาพอสมควร แต่อดีตสามีติงว่า ถ้าข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อจรัญจริงต้องยกรถคันนี้ให้เขาใช้ ข้าพเจ้าย้ำกับต้วเองในใจว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อจรัญจริง และในหนังสือของหลวงพ่อที่เคยอ่านมาและจำได้ว่า หลวงพ่อพูดถึงการให้ “ยิ่งให้ยิ่งได้” ข้าพเจ้าจึงให้รถคันนั้นกับอดีตสามีด้วยความยินดี และไม่เสียดายเลย เพราะข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อจรัญ และข้าพเจ้าก็ได้แนะนำอดีตสามีของข้าพเจ้าให้ขับรถไปกราบหลวงพ่อจรัญที่วัดด้วย

    ข้าพเจ้าได้นำเหตุการณ์เหล่านี้ไปเล่าให้เพื่อนหลายคนฟัง และก็อดมิได้ที่จะแนะนำให้เพื่อนๆไปกราบไหว้หลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวัน ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขดี หลังจากกลับมาขายของ ข้าพเจ้าสวดมนต์ทุกคืน เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ต้องสวดมนต์ก่อนนอน การค้าขายของข้าพเจ้าก็ราบรื่นไม่ติดขัด ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสไปกราบไหว้หลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวันสักครั้งหนี่ง ส่วนข้าพเจ้าจะแบ่งเวลาไปกราบไหว้หลวงพ่อ ปฏิบัติธรรม นั่งวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดอีก ในโอกาสต่อไป

    ท้ายสุดนี้ขอให้ทุกคนมีความสุขไปกับการใช้ชีวิตที่มีธรรมะ หรือธรรมชาติที่แท้จริง เป็นที่ตั้ง ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระและอ่านหนังสือธรรมะเพื่อไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่า “สัตว์โลกทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของตนเอง เราจักต้องอยู่เพื่อรับความจริง และใช้ชีวิตต่อไปด้วยความสุขให้ได้”

นางจิระพร กันพล
๑๐๐ ซอยลาดพร้าว ๖๔ แยก ๑๒
เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
โทร. ๐๘๐-๖๐๓-๐๘๑๑, ๐๘๐-๕๕๒-๓๖๘๙

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›