๒๑/๓ พระญวนแก้กรรม

พระธรรมสิงหบุราจารย์

 

    วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น แต่เรื่องใหม่นี่เราคงไม่ได้ทำกันอีก คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้ ยอมรับผิด ก็ต้องยอมรับชดใช้กรรม ไม่ใช่บุญบาปล้างกันได้นะ เราทำบุญไปแล้วล้างบาปที่ทำไว้คงไม่ได้ เป็นกฎตายตัว บุญไปตามบุญ บาปไปตามบาป น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ ต้องแก้อย่างไร อาตมาจะเล่าให้โยมฟัง เรื่องของพระญวนมาแก้กรรมที่วัดอัมพวัน โดยที่ไม่รู้จักอาตมา มาก่อนเลย เขาคงมีปุพเพกตปุญญตา เมื่อชาติก่อนคงจะมาแก้กรรมกันที่วัด เพราะวัดอัมพวันนี้เก่าแก่

    เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว ยุวพุทธิก-สมาคมฯ จัดการฝึกอบรมพัฒนาจิต โดยให้ชวนเชิญนักศึกษามาเข้าค่ายกันที่วัดอัมพวัน คุณสมพร เทพสิทธา เป็นประธาน อาจารย์วิศาล อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูมหาสารคาม ปลดเกษียณแล้วก็มาช่วยยุวพุทธฯ จัดงานอบรมพัฒนาจิต

    ที่วัดอัมพวันนี้ ตอนนั้นยังไม่มีหอประชุม ก็ใช้ผ้าใบขึง ศาลาก็ยังไม่เรียบร้อย ห้องน้ำห้องส้วมก็ยังมีน้อย ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ให้นักศึกษาอยู่กลด ยุวพุทธฯ ซื้อให้คนละอัน เดี๋ยวนี้ยังฝากไว้ที่นี่

    นายบัวเฮียว เป็นชาวญวน อยู่ทางสกลนคร รับจ้างฆ่าวัว ฆ่าควาย เงินเดือนก็ไม่พอเลี้ยงชีพ ก็ไปอยู่กับเถ้าแก่คนจีน รับจ้างฆ่าหมูต่อไป ฆ่าวันละ ๔ ตัว ๕ ตัว เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าทางภาคอีสานถ้ามีงานเลี้ยงก็ต้องฆ่าวัว

    เริ่มหมดกรรม...วันหนึ่งเขาจะหมดเวรหมดกรรมของเขา เขาก็เดินกลับไปที่พัก ก็ไปเจอพระธุดงค์องค์หนึ่งปักกลดอยู่ เขาไม่เคยมีศรัทธากับพระ แต่วันนั้นเห็นพระธุดงค์เกิดนึกเลื่อมใสอยากจะไปไหว้ เมื่อไปถึงแล้วก็กราบพระธุดงค์ ตักน้ำถวายท่าน พระธุดงค์องค์นั้นก็ถามว่า คุณชื่ออะไร มีอาชีพการงานอะไร บัวเฮียวก็เล่าถวายทุกประการ พระท่านคงสงสารว่ามีอาชีพฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าหมู ท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง ชี้ให้เห็นผิดถูก ชี้บุญบาป บัวเฮียวก็ซึ้งในธรรมะ พระท่านก็แนะนำบอกว่าไปหาอาชีพอย่างอื่นเถิด เป็นบาปเป็นกรรมเหลือเกิน ถ้าเชื่อก็ควรปฏิบัติตาม บัวเฮียวเล่าว่า นึกเลื่อมใสพระธุดงค์องค์นี้มาก ไม่เคยไหว้พระ ไม่เคยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา อาตมาก็ไม่ได้ถามว่า ท่านนับถือศาสนาอะไร กลับไปบ้านนอนไม่หลับ คืนนั้นฆ่าหมูไม่ลงต้องแข็งใจฆ่าไปสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าขอลาออก ไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
บวชแล้วก็ไปเดินธุดงค์ ๑๐ กว่าปี ศึกษาวิปัสสนา เจริญอานาปานสติ พุท หายใจเข้า โธ หายใจออก ทำมาโดยมีสมาธิคร่าวๆ ดิ่งเข้าไปโดยเอกัคคตารมณ์ เวลานั่งแล้วจะเห็นแต่หมูเห็นแต่วัวแต่ควายที่เคยฆ่า ทำให้จิตใจเศร้าหมองตลอดเวลา ไม่สามารถจะแก้ได้เลย ท่านก็เดินธุดงค์ไปเรื่อย จากภาคอีสานไปกระทั่งเชียงใหม่ ถ้ำเชียงดาวท่านก็ไป เจออาจารย์องค์โน้นองค์นี้มากมาย

    นิมิตเกิด…ในที่สุดมาปักกลดอยู่ทางภาคอีสาน จะเป็นสกลนครหรือหนองคายหรือจังหวัดใดก็ไม่ทราบ ก็เดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งท่านนั่งสมาธิก็เกิดนิมิตขึ้นมาว่า “นี่คุณจะแก้กรรมเอาไหม ที่คุณทำบาปทำกรรมเอาไว้นี้คุณยังแก้กรรมไม่ได้เลย”

    “ทำอย่างไรจะแก้กรรมได้” ถามตามนิมิต นิมิตก็ว่า “วันที่ ๑๖ เขาจะเปิดอบรมนักศึกษากันที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี รูปร่างวัดเป็นอย่างนี้… ให้เดินทางไปโดยด่วน แล้วพระคุณเจ้าจะแก้กรรมได้ จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รูปร่างสมภารเป็นอย่างนี้…” ว่าอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ดลบันดาล ท่านเลยมาธุดงค์ เมื่อก่อนไม่เคยเดินผ่านทางภาคกลางนี้เลย ไปแต่ภาคอีสาน ภาคใต้และภาคเหนือ

    รุ่งเช้าท่านก็ไปบิณฑบาต ฉันเสร็จแล้วก็มุ่งตรงมาวัดอัมพวัน ถามเขาเรื่อยมา จากนครราชสีมา มาสระบุรี เดินเรื่อยมาไม่ขึ้นรถ มืดที่ไหนก็ปักกลดนอนที่นั่น นับได้ ๓ วัน มาถึงวัดอัมพวัน พอถึงก็มานมัสการอาตมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ยังไม่ได้เล่าละเอียด บอกเพียงผมมีนิมิตเล่าถึงวัดนี้ว่า “จะมีการอบรมนักศึกษาจริงหรือไม่” บอกว่า “จริง นี่เตรียมแล้วปักกลดแล้วรอนักศึกษามาวันมะรืนนี้” พระบัวเฮียวมาถึงก่อนกำหนดที่นักศึกษาจะเข้าวัด ๓ วัน ท่านก็ปักกลดตรงที่มีศาลพระภูมิ เดิมทีตรงนี้เป็นต้นสัตบรรณ อีกต้นเป็นต้นพิกุลที่เทวดาเคยมาสอนแม่ชีสวดมนต์ ต้นเล็กนี้อายุตั้งร่วมพันปี หลวงสมานวนกิจ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ท่านบอก มีต้นสัตบรรณต้นสูงมาก แล้วมีมะม่วงอยู่ ๔ แถว

    ในพิธีเปิดการอบรมนักศึกษา ได้นิมนต์พระเถรานุเถระผู้ใหญ่มา มีอธิบดีสมพร เทพสิทธา แล้วยังมี นายอภัย จันทวิมล
พระบัวเฮียวมาถึงก็เล่าให้อาตมาฟังว่า ท่านนิมิตว่าจะมาแก้กรรมที่นี่ แต่ยังไม่เล่ารายละเอียดว่าท่านเคยทำบาปอะไร เพียงแต่ว่าจะมาแก้กรรม จะแก้อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านก็ขอรับพระกรรมฐาน อาตมาก็ให้แนวสติปัฏฐาน ๔ บอกว่า พุทโธก็ดี แต่ใช้สติแทรกเข้าไป บอกให้ท่านตั้งสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็เข้าใจ ก็เริ่มปฏิบัติเลยที่กุฏิหลังเล็ก ที่ให้ท่านอยู่

    พอนั่งปฏิบัติได้คืนนั้นผ่าน คืนที่ ๒ สติดีเข้า ร้องเป็นหมู เป็นวัว เป็นควาย หมดเลย ร้องวิ่งมาชนเสากุฏิแล้วชนต้นสัตบรรณหัวร้างข้างแตกเลือดไหลออกมา ไหลใหญ่เลย แล้วก็ทำท่าถูกมัดเป็นหมู นอนงอเป็นหมู แล้วร้องอี๊ดๆอย่างหมูเลย เลือดไหล เห็นกันหลายองค์ พอดีนักศึกษาเข้ามา ก็มายืนดูเป็นกลุ่ม พวกอาจารย์สมเดชด้วย ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษา ปกศ.อยู่ ที่ยืนดูก็ท้อใจบอก โอ! พระปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ไม่เอาแล้ว

    เราเสียภาพพจน์เสียแล้ว อาตมาก็ยังไม่ทันรู้ เขาก็เลยตามหมอมาตรวจ หมอบอกว่า หัวใจก็ดี ความดันก็ปกติ ไม่มีโรค หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร

    นักศึกษาก็คิดกันว่า ถ้านั่งวิปัสสนาเป็นอย่างนี้ น่ากลัว บอกว่าไม่เอาแล้ว จะกลับบ้าน พอดีอาจารย์วิศาลก็มาห้ามไว้ว่ายังกลับไม่ได้ ต้องประชุมชี้แจงให้เข้าใจ

    กำหนดสติแก้…คืนต่อมานักศึกษามาเข้าประชุมแล้วรับพระกรรมฐานก็ไปนั่งปฏิบัติ พระบัวเฮียวก็แสดงอีก วิ่งมาตรงนี้ที่ต้นสัตบรรณ วิ่งชน เอาศีรษะชนโป๊กๆ ถอยหลังไปถอยหลังมา จีวรสบงขาดหมด แล้วก็ร้องเป็นวัวเป็นควาย เลือดไหลเป็นกองๆ เลือดก็มาออกทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางปากบ้าง อาเจียนออกมาบ้าง แล้วถ่ายอุจจาระเป็นเลือดตลอด ๓ คืน ๓ วัน ไม่ได้นอน อาตมาไปดูท่านแล้วก็บอกว่า พอได้สติก็ให้กำหนดไปๆ วันที่ ๓ ที่ ๔ ก็ลุกนั่งได้แล้ว ลุกนั่งได้เจริญสมาธิสติปัฏฐาน ๔ เข้าผลสมาบัติได้ทันที

    พอเข้าผลสมาบัติออกมาแล้ว ก็เล่าถวายอาตมาถึง ๓ ชั่วโมง บอกพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ ผมจะเล่าเหตุการณ์ของผมถวาย ผมเป็นญวนครับ ไม่ใช่คนไทย ก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นตามที่อาตมาได้เล่าไปแล้ว เล่าว่าได้ไปฆ่าวัวฆ่าควาย นี่เป็นกรรมต้องใช้ พอได้สติขึ้นมา กำหนดเวทนา เพราะฉะนั้นโยมอย่าได้ทิ้งเวทนา

    มีนักศึกษาเคยมาที่นี่ เวลาปฏิบัติบอกปวดจะตายแล้วเจ้าข้า บ้านอยู่อุดรธานี เขามาเรียนวิทยาลัยครูที่อยุธยา เดี๋ยวนี้สำเร็จไปแล้ว เลยบอกให้กำหนดเวทนา กำหนดหนักเข้าๆ จึงรู้ว่าเคยไปหักขาเขียดขากบเป็นๆ เอามาทำอย่างนั้นๆ เขาเล่าละเอียด พอรู้เรื่องว่าตัวทำกรรมมาแล้วกำหนดและแผ่เมตตาแล้วหายทันที และจะไม่ปวดแข้งปวดขาอีก

    ย้อนมาเล่าถึงพระบัวเฮียว พอท่านได้สติดีบอกว่า ผมเองนี่ปฏิบัติมา ๑๐ ปี แก้กรรมอะไรมิได้เลย ก็นั่งนิ่งไปเฉยๆ และไม่รู้เวทนาในเวทนา ท่านก็บอกว่าผมทราบแล้วครับว่าเวทนาในเวทนาเป็นอย่างไร เราไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเราจะต้องทรมานอย่างนี้แหละหนอ พอได้สมาธิผลสมาบัติ แผลที่คอไม่มี เลือดหยุดไหล และศีรษะที่เป็นแผลก็หายไปทันที มันเป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน

    วันสุดท้ายพวกนักศึกษาเห็นว่าแก้กรรมได้ เลยสามารถจะบรรยายได้อย่างสวยงาม ทำให้นักศึกษาตื่นเต้นในเรื่องการปฏิบัติธรรม พระบัวเฮียวก็มาทำเป็นตัวอย่างให้นักศึกษาได้ทราบว่าวิปัสสนาแก้กรรมได้ ด้วยวิธีรับใช้กรรมโดยที่เอาหัวไปชนโน้นชนนี่

    อันนี้ขอเจริญพรว่า เวทนาสำคัญมากนะ จับให้ได้ กำหนดให้ได้ บางครั้งมันเป็นกรรมที่เราไปทำเขาไว้ กำหนดให้หายโดย สติสัมปชัญญะ โดย สติปัฏฐาน ๔ พระบัวเฮียวลากลับไปถึงบ้าน ชวนญาติโยมไปสร้างวัด ญาติโยมนุ่งขาวปฏิบัติวิปัสสนาเจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็เลยเลิกใช้พุทโธ ใช้เวทนากำหนดเป็นการใหญ่ เป็นการแก้กรรมด้วยเวทนาจึงรู้กฏแห่งกรรม ถ้าคนไหนไม่ทนต่อเวทนา กำหนดไม่ได้ อย่าไปหนีเวทนา หนีไม่ได้

    หลังจากนั้น พระบัวเฮียวก็พาญาติโยมมา ๒-๓ คันรถบัส อาตมาก็รับเลี้ยง พักที่วัดนี้ ๑ คืน ก็พาโยมมาดูว่าแก้กรรมได้ที่ไหน ก็มาที่ต้นสัตบรรณให้ญาติโยมดู มาชี้ที่พระบัวเฮียวมาปักกลดตรงนั้น แล้วก็กลับไป หายเงียบไปอยู่ได้สัก ๑ ปี ญาติโยมชุดนั้นมาที่นี่ บอกอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าพระบัวเฮียวของฉันนั้น ท่านสร้างวัดเสร็จแล้ว สอนเรียบร้อยดี มีตัวแทนแล้วท่านหายไปเลย ธุดงค์ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบจนบัดนี้ อาตมาก็พยายามสืบทราบหาต่อไป ก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้ท่านไปอยู่ภาคเหนือเปลี่ยนชื่อไม่ใช่ชื่อบัวเฮียว อาตมาก็ยังไม่ได้ไปพบท่าน

    นอกจากพระบัวเฮียว ยังมีเรื่องคนอื่นๆอีก อย่างทหารมาอบรมที่นี่ไว้หนวดหน่อย เป็นสิบเอก นั่งไปนั่งมา บอกให้กำหนดเวทนา แต่ก็จะลุกไปลุกมา พอบังคับหนักเข้า นั่งเวทนาได้ก็กำหนดได้ แสดงออกแล้วพร่ำๆเดินๆรอบวัดเลยเสียอกเสียใจ อาตมากำลังบรรยายก็เลยให้ไปเรียกมาหาที จับได้ว่าเคยไปฆ่าเขาหลายศพ มันมาปรากฏในเวทนาทันที เวทนานี่ตัวสำคัญ เมื่อบอกวิธีปฏิบัติให้แล้วหนักเข้านึกได้ว่าเคยทำอะไรมา จะรู้จากเวทนา เช่น เมาเหล้า พ่อก็มาห้าม ทะเลาะกับภรรยา เตะตกท่อลงใต้ถุนไป หรือเคยไปฆ่าเขาเมื่อตอนหนุ่มๆ ตอนนี้อายุมากแล้ว จำไม่ได้ แต่มาได้เวทนาที่นี่ กำหนดเวทนาได้ปั๊บก็นึกเหตุการณ์ขึ้นได้โดยอัตโนมัติว่าตนเองเคยไปฆ่าเขามา

    อีกคนหนึ่งผ่าไปอยู่ในกอไผ่ เห็นไหม พอรู้ตัวทุกข์ขึ้นมา เห็นกรรมของตัวที่ทำมาก็ออกเดินไปเลย เดินไปอยู่ในกอไผ่ อนุศาสนาจารย์ก็กลุ้มอกกลุ้มใจ มาปรารภว่า “เขาไม่ตกน้ำตายไปแล้วหรือนี่” อาตมาบอกว่า “เฉยๆ กินข้าวซะก่อน เดี๋วยไปตามจะเจออยู่ในกอไผ่ ต้องผ่ากอไผ่ออกมา” ผ่าไปอยู่ในกอไผ่ที่อยู่เหนือสุดเขตบ้านที่พระไปบิณฑบาต เดินไปตอนกลางคืน ไม่รู้เข้าไปอย่างไร ออกลำบาก ผ่าเข้าไปในกอไผ่ นี่เป็นเวรกรรมต้องใช้ เคยเอาเขาเข้าไปในกอไผ่ ตัวก็เลยต้องเข้าไปอยู่ในกอไผ่บ้าง

    นี่คนลืมนึกกฏแห่งกรรมไม่ได้ เข้าไปประสบทุกข์มีเวทนา วิปัสสนาสติปัฏฐาน รู้กรรมตอนเวทนา ถ้านั่งสบาย ไม่ทนต่อเวทนา จะไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรไว้ ขอฝากเทคนิควิธีปฏิบัติด้วย ถ้าทนต่อเวทนาไม่ได้เลยเลิกปฏิบัติ โยมจะรู้กรรมและใช้กรรมไม่ได้ นายจ่าคนนี้บอกหลวงพ่อว่าผมรู้แล้วผมเสียใจมาก แล้วก็เอาหัวไปชนกับลูกกรง เสียใจมากๆ ตี ๔ พังประตูไปเลย คอกกรรมฐานพังเลย นี่เป็นกฏแห่งกรรมต้องระวัง เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้ บางอย่างมันชวนให้ท้อถอย อย่าม้วนเสื่อหนี
เพราะฉะนั้นญาติโยมที่เป็นวิทยากรสอนเขาต้องควบคุมดูแลไว้ก่อน ถ้าคนไหนมีกรรมมากต้องควบคุมให้มาก เดี๋ยวมันแสดงฤทธิ์อย่างนี้ ถ้าคนไม่เคยสร้างกรรมมาไม่เป็นไร ถ้าคนไหนสร้างกรรมไว้ในอดีตชาติหรือในปัจจุบันนี้ ต้องควบคุมให้ดี หนีได้ง่าย ฟุ้งซ่านได้ง่าย บ้าบอคอแตกไปก่อน บ้างก็ไปชนโน่นชนนี่ โดดโน่นโดดนี่ นี่กรรมชัดต้องใช้เขาก่อน วิทยากรต้องควบคุมอย่างดี

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.htmlหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›