๑๙/๔๓ รอดตายด้วยเมตตาจากหลวงพ่อ

รัตนะ รุ่งอรุณ

    ผมชื่อ รัตนะ รุ่งอรุณ เกิดวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๗ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ เป็นบุตรของนายราตรี รุ่งอรุณ กับ ร.ต.หญิงนิดน้อย รุ่งอรุณ คุณพ่อของผมเคยรับราชการทหารที่กรมขนส่งทหารบก ซึ่งตั้งอยู่ที่สะพานแดง บางซื่อ เป็นช่างซ่อมเครื่อง และเป็นหัวหน้าวงดนตรีรุ่งอรุณ ท่านถึงแก่กรรมปี ๒๕๓๒ รวมอายุได้ ๖๖ ปี ส่วนคุณแม่รับราชการทหารที่กรมสรรพาวุธทหารบก เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการดูแลด้านที่พักอาศัยของกำลังพลในกรมสรรพาวุธ ท่านได้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลาน คุณแม่มักจะไปวัดเพื่อสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาตลอดมา ท่านเป็นบุคคลที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีเมตตากับเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย คุณแม่มีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และเส้นเลือดในสมองตีบ แต่ท่านก็ไม่เคยบ่น ทั้งยังเลี้ยงดูผมให้เข้าเรียนในโรงเรียนช่างอากาศอำรุง โรงเรียนโยธินบูรณะ และจบ ปวช.ที่โรงเรียนช่างกล ขส.ทบ. สอนผมให้รู้จักบุญคุณ ความกตัญญูกตเวที มีเมตตาต่อผู้อื่น ผมได้เข้ารับราชการทหารในปี ๒๕๓๖ ในตำแหน่งช่างสรรพาวุธ ชั้น ๑ ที่กรมสรรพาวุธทหารบก โดยมีหน้าที่ซ่อมเครื่องและผลิตกระสุน ในชีวิตของผมมีเรื่องราวมากมายที่อาจจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ได้อ่าน

    ในชีวิตวัยเด็กช่วง ๗-๘ ขวบ ด้วยความเป็นเด็กซุกซน ชอบไปวิ่งเล่นที่ริมบึง เห็นตั๊กแตนก็วิ่งไล่จับกันกับเพื่อน ๆ แล้วนำมาหักขา เพื่อที่จะไม่ให้มันบินหรือกระโดดหนีไปไหนได้ แล้วก็ปล่อยมันไป ต่อมาก็เลี้ยงปลากัด แล้วชอบเอานิ้วไปกวนน้ำรอบ ๆ ตัวมันเพื่อจะให้มันมึนงง จะได้จับตัวมันเล่นได้ง่าย ๆ เล่นอย่างนี้เป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งปลากัดตัวนั้นก็ตายไป พอโตขึ้นมาอายุได้ ๑๔ ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน หลังซ้อมฟุตบอลในเวลาเย็นเสร็จแล้วขี่จักรยานเล่นกับเพื่อน ไปเจอสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันวิ่งกระโจนเข้ามา ผมกลัวว่ามันจะกัดเอาก็เลยเตะมันไปที่ขาหลังอย่างแรง ปรากฏว่าทำให้มันขาหักและมันก็เดินหนีไป ต่อมาอีก ๒ อาทิตย์ก็มีคนบอกผมว่ามันตายแล้ว ผมเสียใจมากกับการกระทำครั้งนั้น แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่ขออโหสิกรรมจากสุนัขตัวนั้น

    เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มพบกับเหตุการณ์ที่เป็นผลจากการที่เคยสร้างเวรกรรมไว้เหมือนกับจะวนกลับมาให้เห็นผลบ้างแล้ว ปี ๒๕๓๗ ผมได้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์มาขี่ ต่อมาไม่นานนักก็เริ่มเกิดอุบัติเหตุ ได้ชนกับรถยนต์บ้าง รถหกล้อบ้าง รถเมล์บ้าง ทำให้ต้องเสียเงินซ่อมรถและเสียเงินรักษาตัวเอง ซึ่งเป็นผลให้ข้อเท้าพลิก เอ็นข้อเท้าบาดเจ็บเป็นแผลถลอก นิ้วหักบ้าง และมาหนักสุดในวันที่ ๔ พ.ค. ๒๕๓๙ รถได้ล้มและลื่นไถลไกลประมาณ ๕๐ เมตร เป็นผลให้สะโพกข้างขวาหัก และเส้นเอ็นบริเวณสะโพกขาดเป็นแผลลึก และตามข้อมือข้อเข่าเป็นแผล ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบางโพ ๓ วัน และย้ายมาโรงพยาบาลพระมงกุฎ ในวันที่ ๗ พ.ศ.๒๕๓๙ เพื่อใส่เหล็กตรงสะโพก และใช้ลวดเย็บตรงที่เอ็นขาด ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าอยากตาย เพราะคิดว่าเดินไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว นึกถึงผลกรรมที่เคยเตะสุนัขตัวนั้น จึงทำให้คิดว่าเขามาเอาคืนแล้ว แต่ยังยั้งคิดว่าถ้าผมตายไปแม่ของผมจะอยู่อย่างไร จึงสู้ความเจ็บปวดนั้น พอตกกลางคืนวันที่ ๘ พ.ค.๒๕๓๙ ประมาณตี ๔ ผมรู้สึกเหมือนกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นมีชายร่างใหญ่ผิวดำ ผมหยิก ตาโต มีนัยน์ตาสีแดง นุ่งโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ ถือกระบอกยาวมายืนมองผมอยู่ปลายเตียง ผมก็บอกว่า “ช่วยด้วย ๆ ผมเจ็บเหลือเกิน ช่วยผมด้วย” พอตกใจตื่นก็ไม่เห็นอะไร

    จึงเล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟัง คุณแม่บอกให้ไปกราบท่านท้าวหิรัญพนาสูรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎนั่นเอง ตอนนั้นผมก็ได้อธิษฐานว่าจะบวช ๑ พรรษา และไม่ทานเนื้อวัวตลอดชีวิต เพื่ออุทิศให้คุณพ่อ คุณแม่ ผู้มีพระคุณทุกท่านและเจ้ากรรมนายเวร จนกระทั่งกลับมาเดินได้อีกครั้ง และบรรพชาเป็นพระภิกษุในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐ พอครบ ๑ พรรษาตามที่ตั้งใจไว้ก็กลับมารับราชการต่อ และได้มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่กรมสรรพาวุธได้ชวนมาปฏิบัติกรรมฐานของกองทัพบก ในปี ๒๕๔๑ ผลัดที่ ๒ ที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี จึงได้เข้ามารับพระกรรมฐานจากพระธรรมสิงหบุราจารย์ ซึ่งตอนนั้นมีคุณแม่ยุพินและคุณพ่อวิงช่วยสอนและดูแลให้คำแนะนำ ผมก็ได้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

    พอถึงวันที่ ๔ ของการปฏิบัติ ปรากฏว่าการนั่งและการเดินในช่วงนั้นทรมานมาก ปวดร่างกายไปทั้งตัวเหมือนจะโดนแยกร่างกายออกจากกันให้ได้ โดยตอนเดินก็ปวดเหล็กที่สะโพกมากและหัวไหล่ก็ปวดร้าวสุดจะทน แต่คิดว่าต้องทนให้ได้ พอครบ ๑ ชั่วโมงก็หมดเวลาเดิน คุณแม่ยุพินบอกให้นั่งต่อไป และพอนั่งได้ก็รู้สึกว่าอาการปวดตามส่วนต่าง ๆ น้อยลง แต่พอเวลาผ่านไปถึงประมาณนาทีที่ ๔๐ ของการนั่ง ปรากฏว่าร่างกายท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปถึงขารู้สึกเจ็บปวดมากจนต้องกัดฟัน แต่ในตอนนั้นตัดสินใจว่าจะไม่ขยับตัวแน่นอน ถ้าจะตายก็ให้ตายตรงนั้น คิดอย่างเดียวว่าเมรุก็อยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องไปไกลนัก จึงตัดใจจากความเจ็บปวด แล้วได้ภาวนายุบหนอ พองหนอ และเวลาผ่านไปถึงนาทีที่ ๕๐ ของการนั่ง ผมได้เห็นสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งมาปรากฏอยู่ตรงหน้า เหมือนมายืนดูเราปฏิบัติ ตอนนั้นนึกขึ้นมาได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นสุนัขตัวนั้นที่ผมเคยเตะจนขามันหัก ผมจึงตั้งจิตและขออุทิศบุญที่ผมได้สั่งสมมาและบุญที่จะเกิดจากการปฏิบัติกรรมฐานครั้งนี้ จงสำเร็จแก่สุนัขตัวนั้นด้วย และขออโหสิกรรมที่ได้เคยล่วงเกินกันไว้ อีกไม่ถึงอึดใจทุกอย่างก็สว่างนวลตาไปหมด และภาพสุนัขตัวนั้นก็ได้หายไป รู้สึกอิ่มใจและคิดว่าดีนะที่เรากล้าอดทนยอมตายถวายตัวกับพระกรรมฐานจริง ๆ สักครู่ก็หมดเวลานั่ง รู้สึกหมดเรี่ยวแรง

    และหลังจากนั้นก็ถึงวันเดินทางกลับกรุงเทพฯ ผมคิดในใจว่าตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ขอปฏิญาณว่าจะปฏิบัติในพรรษาร่วมกับกองทัพบกที่วัดอัมพวันตลอดชีวิต พอกลับมาทำงานได้ไม่ถึงเดือน วันที่ ๒๑ ต.ค. ๒๕๔๑ เกิดเรื่องกับผมอีกครั้ง ผมได้รับคำสั่งให้ทำกิจกรรม ๕ ส. ขณะกำลังจัดเก็บสายไฟที่ไม่เป็นระเบียบที่ใต้โต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง โดยใช้เทปกาวพันสายไฟ พอทำถึงตำแหน่งที่สายไฟรั่วอยู่ กระแสไฟ ๔๔๐ โวลต์ ได้ไหลเข้าสู่นิ้วชี้ข้างขวา ทำให้ชาไปทั้งตัว หูอื้อ หายใจไม่ออก ลิ้นแข็ง ตอนนั้นรู้แล้วว่าถูกไฟดูด มีอาการเจ็บปวดทรมานมาก แต่นึกรวบรวมสติและคิดว่าถ้าเราไม่รอดหรือต้องตาย คุณแม่ของผมจะอยู่อย่างไร จึงนึกถึงพ่อปู่กรมช่างแสงและหลวงพ่อจรัญให้ช่วยผมด้วย

    เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ผมร้องออกมาดังมากว่า “ช่วยด้วย ๆ” เสร็จแล้วผมนึกถึงอารมณ์กรรมฐานที่ได้นั่งตอน ๑ ชั่วโมงนั้น มาอยู่ในอารมณ์ ปรากฏว่าช่วยได้ ทุกอย่างสว่างหมดเลย เห็นแต่ใยบาง ๆ ลอยอยู่เท่านั้น ตอนนั้นผมไปไหนไม่รู้ ไม่เห็นทาง เห็นแต่แสงระยิบระยับ สักครู่ผมรู้สึกเหมือนโดนดึงอย่างแรงและได้ไอออกมา ๒-๓ ครั้ง ผมค่อย ๆ ลืมตา เห็นคนมุงผมเต็มเลย แล้วก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “ไม่ตายแล้ว ฟื้นแล้ว” ผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎอีกครั้ง รักษาตัวอยู่ครึ่งวันก็ได้กลับมาเจอกับคุณแม่ แม่ก็ดีใจว่าลูกยังมีชีวิตอยู่

    พอปี ๒๕๔๒ ผมได้เข้าปฏิบัติร่วมกับกองทัพบกอีกเป็นครั้งที่ ๒ ในผลัดที่ ๑ และได้เล่าเรื่องราวให้คุณแม่ยุพินฟัง คุณแม่ยุพินบอกว่า “ลูกเอ๋ย ถ้าลูกไม่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ลูกอาจจะเป็นขี้เถ้าไปแล้ว” ซึ่งการมาปฏิบัติกรรมฐานเหมือนการมาฝึกกายฝึกจิต ให้กลับไปต่อสู้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งถ้าเจ้ากรรมนายเวรมาเอาคืนแล้ว เราจะต่อรองก็ไม่ได้ ขอผ่อนผันก็ไม่ได้ คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะปฏิบัติให้ดีเสมอ

    ขอน้อมถวายบุญกุศลทั้งหมดแด่หลวงพ่อจรัญ และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยได้โปรดปกปักรักษาหลวงพ่อจรัญ ให้มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนชาวไทยตราบนานเท่านานเทอญ

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›