๑๙/๓๓ บุญกุศลจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

สุมนา อินทร์จักร์

    ปัจจุบันดิฉันอายุ ๕๓ ปี รับราชการครู ตำแหน่งครู โรงเรียนวัดเขาใหญ่ อำเภอท่ามะกา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาญจนบุรี เขต ๒ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

    ดิฉันเริ่มสนใจและเข้าปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรกที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑ มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิงหบุราจารย์เป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีเมตตาต่อผู้ใฝ่ใจปฏิบัติธรรมเป็นอันมาก ท่านรับภาระทุกอย่างเพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ปฏิบัติ หวังเพียงให้พุทธศาสนิกชนมาแล้วตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังเท่านั้น ก่อนหน้าที่ดิฉันจะเข้ามาก็ได้รับทราบจากน้องชาย (คุณอนันต์ อินทร์จักร) ซึ่งเขาไปปฏิบัติก่อนแล้ว และได้ผลเป็นที่พอใจจึงได้แนะนำและชักชวนให้ดิฉันไปปฏิบัติ

    ครูคนแรกก็คือ พระอาจารย์ธเนศ หิตกาโม อาจารย์ซูง้อ และอาจารย์พันทิพย์ ซึ่งทั้งสามท่านเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดและแก้ปัญหาการปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม ช่วงแรกของการปฏิบัติ คือ ปี ๒๕๔๑-๒๕๔๒ ดิฉันปฏิบัติไม่จริงจังไม่ต่อเนื่อง ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง ยังไม่ทุ่มเทเท่าที่ควร จนกระทั่งเดือนกันยายน ๒๕๔๓ ดิฉันเริ่มปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ คือ ตอนเย็นเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ช่วงเช้าจะตื่นนอนตีสาม การปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง ให้ผลที่เรียกว่าอานิสงส์แก่ดิฉันอย่างน่าประหลาดใจ ดิฉันขออนุญาตนำเสนอเพื่อเป็นวิทยาทาน เป็นตัวอย่างว่า พระธรรมของพระบรมศาสดาที่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติได้จริงและให้ผลจริงนั้น เป็นความจริงแน่นอน

    วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๔ หลังจากปฏิบัติกิจส่วนตัวและกรรมฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รับประทานอาหาร นั่งพักสักครู่ใหญ่ รู้สึกง่วงนอน ก็เอนตัวนอนบนเก้าอี้หวาย หลับไปงีบหนึ่งนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่รู้สึกเจ็บตามตัวและปวดบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือ เป็นก้อนเนื้อแข็งเหมือนพังผืดหรือหินปูนก้อนใหญ่เท่าผลพุทราจีน ก็หาน้ำมันมาทานวด ไม่นานก็มีอาการอักเสบแดง ปวดมากจึงไปหาหมอที่คลินิก คุณหมอก็ฉีดยาให้ อาการปวดก็หายไป แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นอีก ตอนหลังดิฉันเปลี่ยนมาเป็นนอนเสื่อ ขณะที่ล้มตัวลงนอนดิฉันก็ระลึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วก็พูดอยู่ในใจว่า “ลูกปวดนิ้วเหลือเกิน ขอบารมีหลวงพ่อช่วยปัดเป่าด้วยเถิด” สักครู่ก็เคลิ้มหลับไป

    มารู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนมีอะไรนิ่ม ๆ อยู่ที่ข้อมือข้างที่ปวด ดิฉันลืมตาดูแทบช๊อค งูเห่าสีดำมะเมื่อม ที่หัวมีดอกจัน ลำตัวเท่านิ้วหัวแม่มือโต ๆ ดิฉันกลัวสุดขีด แต่ด้วยสติที่ฝึกฝนตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพร่ำสอน ทำให้ดิฉันระงับไว้ได้ ดิฉันนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเลย ได้แต่เหลือบตามองว่าเจ้างูตัวนี้จะเลื้อยไปทางไหน แปลก เจ้างูตัวนั้นเลื้อยเอาหัวพาดบนข้อมือตรงบริเวณที่มีก้อนเนื้อนูนโตและเจ็บปวดตรงนั้น แล้วงูก็แลบลิ้นแผล็บไปตรงจุดที่ปวด ๒ ครั้ง หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เลื้อยผ่านข้อมือไป เมื่องูเห่าเลื้อยออกไปราว ๕๐ เซนติเมตร ดิฉันก็ขยับตัวไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว แต่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่งู

    เป็นที่น่าแปลกใจ งูค่อย ๆ เลื้อยกลับมาซุกอยู่ใต้เสื่อดิฉันจึงรีบลุกขึ้น เดินถอยหลังตะโกนเรียกยายปาน มณีโรจน์ เรียกคุณประกิจ คำผา ให้มาช่วยนำงูออกจากบ้าน คุณประกิจพร้อมด้วยคุณเกสรภรรยา และหลานสาวรีบวิ่งมาพร้อมกับไม้ขนาดกำลังเหมาะมือ ดิฉันบอกว่างูอยู่ใต้เสื่อ คุณประกิจก็ใช้ไม้สอดเข้าใต้เสื่อแล้วยกเสื่อขึ้น พลันเจ้างูชูคอแผ่แม่เบี้ย ดิฉันห้ามไม่ให้ทุบ แค่ต้องการให้งูออกจากบ้านไปเท่านั้น ทุกคนพยายามบอกว่าไม่ควรปล่อยไป แต่ดิฉันก็ยังคงยืนยันไม่ให้ทำร้าย ในที่สุดก็ค่อย ๆ ใช้ไม้ไล่ปล่อยให้มันเลื้อยออกไป ดิฉันไม่กล้าเดินผ่านจุดที่งูเลื้อยหลบออกไปทางนั้นตั้งหลายวัน

    กรรมฐาน เมื่อยามคับขันเราสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยความมีสติ ถ้าดิฉันขาดสติร้องเอะอะโวยวายสะบัดงูออกจากข้อมือ งูจะต้องกัดดิฉันอย่างแน่นอน และที่น่าอัศจรรย์ก็คือ อาการปวดตรงก้อนเนื้อแข็ง ๆ ที่บวมแดงที่ข้อมือแล้วงูแลบลิ้นไปถูกหายไป เป็นไปได้อย่างไร

    ดิฉันยังคงปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่องและจริงจังเป็นปกติ จนกระทั่งวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ขณะที่นั่งฟังเทศน์ที่สำนักปฏิบัติธรรมสัมมาทิฐิ ต.แก้มอ้น อ.จอมบึง จ.ราชบุรี หลังจากพระคุณเจ้าเทศน์จบกัณฑ์ที่สอง จ.ส.อ.สุวรรณ เนื้ออ่อน มาส่งข่าวว่าคุณแม่ป่วยหนัก อยู่ห้องไอซียู โรงพยาบาลเซ็นทรัลเจนเนอรัล กรุงเทพฯ ดิฉันพร้อมกับคุณอนงค์ เนื้ออ่อน พี่สาว ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปเยี่ยมคุณแม่ด้วยกัน ในใจก็คิดว่าคุณแม่ไม่เป็นอะไรมากมาย คุณแม่ต้องหาย ก่อนหน้านี้ดิฉันไปกราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ และอยู่ปฏิบัติกรรมฐาน ๗ วัน

    ดิฉันกับพี่สาวเข้าไปในห้องไอซียู คุณแม่มีอาการหนักมาก ไม่รู้สึกตัวเลย ดิฉันยกมือขึ้นมาประนมขอบารมีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หลวงพ่อจรัญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดอัมพวัน หลวงพ่อดำ หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ขัน หลวงปู่หัน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ตลอดจนบุญกุศลที่คุณแม่ได้บำเพ็ญมา ตลอดจนบุญกุศลที่ลูก ๆ ได้บำเพ็ญแล้ว ขอจงเป็นพลวปัจจัยหนุนนำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยในครั้งนี้ คุณแม่นอนพักรักษาอยู่ ๓ คืน ก็ย้ายไปโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี ไปรักษากับคุณหมอวิริยะ เทียนรุ่งโรจน์

    สัปดาห์แรกอาการก็ยังเหมือนเดิม ผู้ที่ไปเยี่ยมต่างก็ให้กำลังใจดิฉัน เพราะไม่คิดว่าคุณแม่จะรอด แต่สำหรับดิฉันยังมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย มั่นใจในอานิสงส์กรรมฐานอยู่เสมอว่าคุณแม่จะยังไม่ตาย อีกทั้งคุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ก็ให้ความเอาใจใส่ดูแลคุณแม่เป็นอย่างดี ก็ต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    คุณแม่กลับไปอยู่บ้านได้ ๒ คืน มีอาการปอดบวมเข้ามาอีก จึงต้องนำส่งโรงพยาบาลพร้อมแพทย์ อ.เมืองราชบุรี นอนห้องไอซียูอีก ๙ คืน คุณแม่อาการดีขึ้นกลับบ้านได้ แต่ก็ต้องให้อาหารเหลวทางสายยาง ๔ มื้อ ลูกหลานทุกคนก็ผลัดเปลี่ยนกันดูแลและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดตามคำแนะนำของแพทย์ ต่อมาดิฉันได้ร่วมเข้าปฏิบัติกรรมฐานกับคณะของพลตรีเฉลิมเกียรติ จิตรพิลา เพื่อถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เนื่องในโอกาสที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะมีอายุครบ ๗๖ ปี

    ความประทับใจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อกลับจากการปฏิบัติ อาการของคุณแม่ดีขึ้นโดยลำดับ สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ พูดรู้เรื่อง ลุกขึ้นนั่งเองได้และดีใจมาก ๆ ก็คือคุณแม่สามารถเดินได้ด้วย (ใช้เครื่องพยุงสี่ขา) เมื่อถึงกำหนดนำคุณแม่เข้าตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลราชบุรี คุณหมอก็แปลกใจมากและไม่น่าเชื่อว่าคุณแม่จะมีอาการดีขึ้นอย่างนี้ คุณแม่สามารถสวดมนต์บทสั้น ๆ ได้ ให้ศีลให้พรลูกหลานและเพื่อนลูกที่มาเยี่ยมได้ เจิมรถให้ลูกหลานได้ ดิฉันเชื่อแน่ว่าเป็นบุญกุศลที่คุณแม่ทำมาในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ รวมทั้งบุญกุศลที่ลูกหลานร่วมกันสร้างและปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน แล้วแผ่เมตตาให้คุณแม่ตลอด ทั้ง ๆ ที่คุณแม่มีโรคประจำตัวหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจรั่ว โรคเบาหวาน ไขมันอุดตัน สมองฝ่อ เส้นสมองเสียเป็นบางส่วน

    ในความคิดของดิฉันหลวงพ่อเป็นผู้เพียบพร้อมทั้งกายวาจาใจ มีจริยาวัตรที่งดงาม การนุ่งห่มครองจีวรเรียบร้อย การเคลื่อนที่ก็ดูน่าเลื่อมใส ยิ่งเวลาสวดมนต์มือทั้งสองที่ประนมจะสวยงามเรียบร้อย นิ้วทั้งสิบเรียบชิดติดกันไม่บิดเบี้ยว นิ้วไขว้หรือมือห้อยลงมา ไม่ว่าจะสวดมนต์นานแค่ไหน

    หลวงพ่อเป็นผู้ให้ เป็นผู้ปลุกคนให้ตื่นอยู่กับการทำความดี ให้ลดละเลิกความชั่ว หลวงพ่อเป็นพระสุปฏิปันโนอย่างแท้จริง ดิฉันไม่ทราบจะยกคำใดมากล่าวเทิดทูนพระคุณของหลวงพ่อ ได้เหมาะสมกับคุณความดีของท่านที่มีต่อพวกเรา และพุทธศาสนิกชน

    ดิฉันจำคำพูดของหลวงพ่อที่ก้องอยู่ตลอดเวลาว่า “ถ้าพ่อแม่อยู่ห้อง ICU ให้ลูก ๆ รวมพลังตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานแผ่เมตตาให้กับพ่อแม่ ไม่ต้องไปนั่งเฝ้า” หลวงพ่อสอนให้เป็นผู้กตัญญูรู้คุณบิดามารดา พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้รีบแทนคุณค่าน้ำนมและค่าป้อนข้าวป้อนน้ำ ดังคำกลอนที่ว่า

ยามแก่เฒ่าหวังให้เจ้าเฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้หวังให้เจ้าเฝ้ารักษา
ยามต้องพรากจากกายวายชีวา
หวังให้ลูกปิดตาเวลาตาย

    สิ่งเหล่านี้ดิฉันได้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลตามที่ดิฉันได้เล่ามาตั้งแต่ต้น ดิฉันจึงจดจำและนำไปปฏิบัติ ยิ่ง ๆ ขึ้น ถ้าท่านได้พบกับเหตุการณ์ดังเช่นดิฉันประสบมา อยากให้ทุกท่านได้ลองนำไปปฏิบัติ แล้วท่านจะได้พบความจริงดังที่ดิฉันเคยประสบแล้ว นั่นคือผลบุญกุศลจะเกิดแก่ท่านเอง

    ขอกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญมา และมีเมตตากับสัตว์โลกทั้งหลาย รวมทั้งตัวดิฉันและครอบครัว ขอจงเป็นพลวปัจจัยหนุนนำให้หลวงพ่อจงสำเร็จมรรคผลนิพพานตามที่ท่านตั้งใจไว้ด้วยเทอญ

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›