๑๘/๓๐ บันทึกกรรมฐาน

จรรยา ชูสุวรรณ

    ในการปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรก เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าได้ประสบกับเรื่องราวที่แปลกไม่น่าเชื่อ เช้าวันหนึ่งหลังจากปฏิบัติกรรมฐานในช่วงแรกตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐ น.- ๐๖.๐๐ น. ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเพลียจึงไปนอนพักที่ห้อง ข้าพเจ้านอนกำหนดสติจับที่ท้อง กำหนดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกถึงความเงียบสงบและเย็นอย่างน่าประหลาด ข้าพเจ้าไม่ได้หลับเพราะหูยังแว่ว เสียงคนกวาดลานวัดอยู่ แล้วข้าพเจ้าก็มองเห็นตัวเองนอนอยู่ในชุดของผู้ปฏิบัติธรรมในท่าเดิมและห้องเดิม เหลือบมองไปทางซ้ายมือก็เห็นแม่ของข้าพเจ้านั่งชันเข่าข้างหนึ่ง มีผ้าห่มสีขาวคลุมตั้งแต่ไหล่ลงมา แม่มีอาการหนาวสั่น จิตบอกว่าแม่ไม่สบาย เมื่อข้าพเจ้าหันหน้ามามองตรงๆ ก็เห็นหน้าของทวดกำลังก้มมองข้าพเจ้าในระยะใกล้ๆ ห่างประมาณ ๒ คืบ ใบหน้านั้นใหญ่มาก ประมาณ ๗-๘ เท่าของหน้าเดิม ข้าพเจ้ามองเห็นได้ชัดเจน มีปุยเมฆเป็นเส้นเล็กๆ บางๆ ลอยผ่านใบหน้าของทวด มีผ้าขาวบางคลุมศีรษะและปล่อยชายลงมาข้างบ่า หน้าของทวดที่ก้มมองข้าพเจ้านั้นอิ่มเอิบเป็นสีชมพู ยิ้มละมัยอย่างเมตตา ข้าพเจ้าดีใจจนบอกไม่ถูก ผวาลุกขึ้นนั่งพับเพียบจับมือทั้งสองของทวดมากุมไว้ แล้วละล่ำละลักพูดขอร้องทวดเป็นภาษาปักษ์ใต้ว่า “ ทวด ช่วยบาวแอบกัน ช่วยบาวแอบกันนะ” เพราะขณะนั้นจิตของข้าพเจ้าจดจ่ออยู่กับน้าชายที่กำลังป่วยหนัก ทวดเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุมของข้าพเจ้า ลุกขึ้นหันหลังกลับ ข้าพเจ้ามองตามร่างของทวด ซึ่งสวมเสื้อสีขาวแขนกระบอก และมีผ้าสไบเฉียงพาดไหล่ นุ่งโจงกระเบนสีเม็ดมะปราง แต่ทวดเดินหลังตรงไม่งองุ้มและไม่ได้ถือไม้เท้าเหมือนที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อตอนเด็กๆ ทวดเดินห่างออกไปราว ๓-๔ ก้าวแล้วหันหน้ามาพูดภาษาปักษ์ใต้กับข้าพเจ้าว่า “ก็มันทำตัวเอง” แล้วค่อยๆเดินหายไป

    ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่าทำไมข้าพเจ้าจึงนิมิตเห็นทวดทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เคยฝันเห็นทวดเลยตลอดระยะเวลาเกือบ ๒๐ ปี ที่ทวดตายไป (นับถึง พ.ศ. ๒๕๓๑ ซึ่งข้าพเจ้ามาปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรก) นอกจากเป็นเพราะขณะเจริญวิปัสสนากรรมฐานจิตของเราสะอาด สงบ จึงรับได้ อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอานิสงส์ขากการอุทิศส่วนกุศล
เมื่อข้าพเจ้านำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ใหญ่ฟัง แม่ใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ท่านเป็นเทพแล้ว ท่านลงมาบอกขณะนี้จิตเราสะอาด สงบ จึงรับได้”

    ทวดของข้าพเจ้าชื่อ ผล ขาวเขียว ท่านตายไปแล้ว ๓๓ ปี ขณะมีชีวิตอยู่ทวดเป็นคนดีมีเมตตา ใจบุญสุนทาน อยู่ในศีลธรรม ไปวัดทุกวันพระ รักษาศีล ๕ เป็นนิตย์ สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำทุกวัน ตลอดช่วงอายุ ๑๐๓ ปีของทวด ท่านทำแต่กรรมดี หมั่นสร้างบุญกุศล ข้าพเจ้าจึงเชื่อคำพูดของแม่ใหญ่ที่บอกว่าท่านเป็นเทพ ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้าพเจ้า ท่านจึงได้รับส่วนกุศลนี้และลงมาบอกกับข้าพเจ้าว่า น้าทำตัวเองไม่มีใครช่วยได้ นั่นคือน้าตาย ถ้าท่านไม่มาบอก ข้าพเจ้าก็คงไม่ทราบเรื่องนี้ ญาติทางกรุงเทพฯ ไม่ได้บอกข้าพเจ้า เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าข้าพเจ้ามาวัดอัมพวัน

    ขณะที่เราเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น จิตของเราสะอาด สงบ จึงรับหรือสื่อสารได้ เป็นการสื่อสารโดยทางจิต จิตรับรู้และเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้ภาษาพูด จะเกิดขึ้นได้ในขณะที่เราสำรวมจิตจนดิ่งลึกเข้าสู่สมาธิ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานที่พระอุโบสถ ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่ทางด้านขวามือของพระประธาน ก็เกิดนิมิตเห็นตัวเองยืนอยู่ข้างโบสถ์ และมีผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเรียกท่านว่าป้าเลียบ สวมชุดกรรมฐานกำลังกุมมือของข้าพเจ้าเขย่าด้วยอาการดีอกดีใจ พร้อมทั้งพูดว่า “ป้าเลียบมาหายานะนี่” ข้าพเจ้าก็เก็บความสงสัยไว้ว่าทำไมเราจึงเห็นป้าเลียบ ภายหลังจึงได้ทราบว่าท่านเสียชีวิตแล้ว

    ป้าเลียบเป็นญาติของข้าพเข้าเหมือนกัน เมื่อข้าพเจ้าอุทิศส่วนกุศลให้ป้าเลียบท่านก็ได้รับท่านจึงไปหาข้าพเจ้าและคงไปร่วมปฏิบัติธรรมด้วย เพราะขณะที่มีชีวิตอยู่ท่านเป็นคนมีจิตใจดีงาม ถือศีลและไปวัดฟังธรรมสม่ำเสมอ นั่นแสดงว่า คนที่มีจิตใจดีงาม ถือศีลและไปวัดฟังธรรมสม่ำเสมอ นั่นแสดงว่าคนที่จิตใจดี จิตเป็นกุศล ตายไปแล้วก็จะไปอยู่ในที่ดีเหมือนทวดของข้าพเจ้าและป้าเลียบ

    เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๒ แม่ของข้าพเจ้าป่วยหนัก เพราะเส้นเลือดฝอยในสมองแตก เดือนเมษายน ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน เพื่อช่วยให้แม่หายป่วย ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อให้ผลบุญผลกุศลจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะส่งผลให้แม่ของข้าพเจ้าหายป่วยและเดินได้ตามปกติ ข้าพเจ้าเชื่อว่าผลบุญจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานช่วยแม่ได้ แม่มีอาการดีขึ้นมาก กินได้ นอนหลับตามสภาพของคนแก่ เพียงแต่เดินไม่ได้เท่านั้น

    ปัจจุบันนี้แม่มีอายุได้ ๙๓ ปี ที่แม่มีอายยุยืนคงเป็นเพราะกุศลผลบุญที่แม่ได้สั่งสมด้วยตัวของแม่ และบุญกุศลที่ลูกๆ ร่วมกันสร้างให้แม่ เช่นทำบุญทอดผ้าป่า ซึ่งต่างพร้อมกันให้แม่เป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างพระอุโบสถ สร้างเมรุ แล้วลูกหลานยังรวมเงินกันซื้อหนังสือพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย รวมทั้งตู้พระไตรปิฎก ถวายวัดในนามของแม่ นอกจากนี้บุญกุศลจากการที่ลูกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็คงทำให้แม่มีความสุขและมีอายุยืนด้วย

    ปี พ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๔๕ ข้าพเจ้าไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันได้ เพราะหัวเข่าซ้ายและนิ้วเท้าขวาอักเสบเรื้อรัง เวลาเดินจะบวมและปวดมาก หมอห้ามนั่งขัดสมาธิต้องนั่งห้อยขาสวดมนต์อยู่บนเตียง สวดอิติปิโสพาหุงมหากา สวดคาถาชินบัญชรและยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้าต้องทรมานจากอาการปวดหัวเข่าและนิ้วเท้าอยู่หลายปี

    ท้ายที่สุดสรุปว่าข้าพเจ้าต้องเข้ารับการผ่าตัด ก่อนเข้าผ่าตัด ข้าพเจ้าได้รับนิมิตว่าให้ไปปฏิบัติกรรมฐาน ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าไปวัดก็เป็นการสร้างกุศลให้แม่ ให้ตัวเอง และทำจิตใจให้เข้มแข็ง อดทนไม่กลัวการผ่าตัด จึงไปวัดอัมพวันเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน เตรีมพร้อมทางด้านจิตใจและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเพื่อรับการผ่าตัดวันที่ ๓๐ ตุลาคม

    ข้าพเจ้าฟื้นตัวเร็ว ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเวียนศีรษะเลย นี่คือผลจากการทำกรรมฐาน
ข้าพเจ้าแข็งแรงดีเหมือนไม่ใช่คนป่วย เพราะการทำสมาธิทำให้ไม่เสียเลือดมาก จึงไม่ต้องให้เลือด

    ข้าพเจ้าใช้กรรมฐานสู้การผ่าตัด กรรมฐานทำให้จิตใจของเราเข้าแข็งอดทนไม่กลัวต่อความเจ็บปวดใดๆ ดารที่เรานั่งสมาธิมาเป็นเวลานาน เราจะผ่านภาวะที่เกิดความเจ็บปวดทรมานเหมือนดังร่างกายจะแตกสลาย เพราะฉะนั้นความเจ็บปวดอื่นใดคงไม่เท่าความเจ็บปวดนี้อีกแล้ว กรรมฐานทำให้เราทนได้ จากปวดมากจะเป็นปวดน้อย จากปวดน้อยจะไม่ปวดเลย เหมือนที่ข้าพเจ้าไม่กลัวการผ่าตัด ไม่กังวล ไม่เครียด ทำให้ไม่มีปัญหาในการผ่าตัดไม่เสียเลือด ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ฟื้นตัวได้เร็ว ร่างกายกลับคืนสู่สภาพเดิมและแข็งแรงดี

    ข้าพเจ้ามานั่งคิดทบทวนว่าเราทำกรรมอะไรไว้จึงต้องถูกผ่าตัด ที่จำได้ไม่ลืมเลยก็คือการฆ่าปู เป็นการทำด้วยความจำใจ มีคนใช้ให้ทำ จำได้ว่าเป็นปูดำตัวใหญ่มาก เขามัดก้ามและขาของมันด้วยเชือกอย่างแน่นหนา ข้าพเจ้าจดๆจ้องๆ อยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจใช้มีดปักฉึกเข้าที่ท้องของมัน ด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมันสลัดเชือกขาดผึง จนขาทุกขาของมันหลุดออกจากตัวมัน สั่นริกๆอยู่บนพื้น พร้อมๆกับก้ามใหญ่ข้างหนึ่งของมันก็หนีบเอานิ้วหัวแม่มือของข้าพเจ้าไม่ยอมปล่อย ข้าพเจ้าเจ็บปวดจนน้ำตาไหล ร้องออกมาสุดเสียง พี่ต้องใช้มีดงัดก้ามของมันจึงเอานิ้วของข้าพเจ้าออกมาได้ ปรากฏว่าห้อเลือดเขียวช้ำและเป็นแผลลึกเกือบถึงกระดูก เวลาป่านไป ๒๕ ปี บัดนี้ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าต้องชดใช้กรรมให้กับปูตัวนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงแผ่ส่วนกุศลให้กับปู ปลาและสัตว์อื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเคยทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บหรือตายทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    ขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ (พระเทพสิงหบุราจารย์) ที่ได้อบรมสั่งสอนและให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิ เพื่อแก้กรรมและสั่งสมกุศลผลบุญ ข้าพเจ้ารู้ว่าหลวงพ่อทำงานหนักมาก หลวงพ่อฉันน้อย จำวัดน้อย ทำงานมาก ทุ่มเทให้กับงานพัฒนาคนของท่านซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูง

    หลวงพ่อย้ำสอนเสมอว่าให้พวกเราอดทน พากเพียร ปฏิบัติธรรม เพื่อสะสมหน่วยกิตแห่งความดีไว้ ให้เดินจงกรมอย่างถูกต้อง ยืนหนอให้ถูกต้อง เวลาเดินจงกรมท่านแนะนำให้เดินเท้าสัมผัสดินจึงจะดี

    หลวงพ่อเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติงดงามทั้งกาย วาจาและจิตใจ ท่านครองจีวรสีกลักอย่างเรียบร้อยสวยงาม น่าเลื่อมใส พูดจาไพเราะน่าฟัง มีจิตใจที่ดีงามสูงส่ง ชีวิตของหลวงพ่อมีแต่การให้ ให้วัตถุสิ่งของ ให้ความรู้ ให้ธรรมะ ให้โอกาสแก่ผู้คนทั่วทุกสารทิศได้ปฏิบัติธรรม และใช้ธรรมะแก้ไขปัญหาให้พ้นจากความทุกข์ หลวงพ่อสามารถพัฒนาวัดอัมพวันให้เจริญรุ่งเรืองอย่างไม่หยุดยั้ง พระภิกษุสามเณรในวัดอัมพวันมีกิริยามารยาทที่งดงาม รักษาศีลอย่างเคร่งครัด สวดมนต์และเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่เสมอจึงมีหน้าตาเปล่งปลั่งอย่างผู้ทรงศีล และเป็นที่น่าประหลาดว่าถึงแม้มีคนเข้ามาอยู่ในวัดนี้หลายพันคน แต่วัดกลับเงียบสงบปราศจากสพรรพสำเนียงใดๆ

    อีกสองท่านที่ข้าพเจ้าระลึกถึงอยู่เสมอ ด้วยถือท่านเป็นครูอุปัชฌาย์ คือ แม่ใหญ่(อุบาสิกาสุ่ม ทองยิ่ง) ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อ เมื่อลูกๆของท่านเรียนจบและทำงานแล้วจึงได้มาช่วยงานหลวงพ่อเต็มที่ แม่ใหญ่บอกว่าพวกเราทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่เป็นคนกรุงเมาเกิด ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

    อีกท่านคือแม่ชีสมคิด เป็นผู้สอนกรรมฐานให้กับข้าพเจ้าในครั้งแรก ขณะนั้นมีแม่ชีสมคิดเพียงคนเดียว ที่ช่วยแม่ใหญ่สอนกรรมฐานให้กับผู้มาใหม่ในฝ่ายคฤหัสถ์ที่เป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะมีพระสอน แม่ชีเป็นคนพูดน้อยแต่เด็ดขาด ทำอะไรว่องไว สอยอยู่ตลอดเวลาจนกว่าเราจะปฏิบัติได้ แม่ชีคงเหนื่อยมาก ถึงแม้ในตอนหลังจะมีแม่ชีซูง้อมาช่วยแต่จำนวนผู้มาปฏิบัติก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอรุ่นนี้เริ่มปฏิบัติได้รุ่นใหม่ก็มาให้สอนอีก
แม่ชีเหน็ดเหนื่อยมาหลายสิบปีโดยไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่แม่ชีก็ยังมีความตั้งใจช่วยงานสร้างคนของหลวงพ่ออย่างน่าสรรเสริญ แม่ชีสมคิดคือครูอุปัชฌาย์ อาจารย์คนที่สาม ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ

    ข้าพเจ้าจะตั้งใจอดทนพากเพียรพยายามสะสมหน่วยกิตแห่งความดีนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ได้เกิดใต้ร่มบวรพระพุทธศาสนาทุกชาติไป

 

คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ

กลับหน้าหลัก ›